เหว่ยถิง x หวังหยวน
ตอนที่ 3
“เธออยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เรายังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันเลย”
เหว่ยถิงนั่งอ่านหนังสือบนโซฟาตัวยาวในวันหยุด
พลางเอ่ยถามภรรยาที่กำลังนั่งดูทีวีอย่างเบื่อหน่าย
ช่วงบ่ายแก่แบบนี้มันน่าเบื่อมากจริงๆ
“ผมว่าไม่จำเป็นมั้งครับ เราไม่ได้แต่งงานกันแบบปกติ
ไปฮันนี่มูนก็คงไม่มีความสุขเหมือนคู่อื่นหรอก” ตั้งแต่วันที่เมากลับมาหวังหยวนรู้สึกว่าเหว่ยถิงทำตัวดีกับเขาเป็นพิเศษจนไม่น่าไว้ใจ ไม่รู้ว่ารู้สึกผิดหรืออะไร หวังหยวนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอีกคนนัก
“งั้นเหรอ? แล้วการแต่งงานของเรามันผิดปกติตรงไหนล่ะ มีพิธีสมรส
สวมแหวน พ่อแม่เห็นชอบ เข้าหออย่างถูกต้อง
ฉันไม่เห็นว่ามันจะไม่เหมือนคู่อื่นตรงไหนเลย”
“แต่เราไม่ได้รักกันนี่ครับ” หวังหยวนพูดแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ตาเรียวยังคงจ้องหน้าจอโทรทัศน์โดยไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำพูดของตน
“จะยังไงก็ช่าง เราต้องไปฮันนีมูน เลือกมาซักที่แล้วกัน”
พูดจบร่างสูงก็เดินจ้ำอ้าวหนีขึ้นห้องไป
ทิ้งร่างเล็กให้นั่งงอยู่คนเดียวอย่างไม่เข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายเลย
เดี๋ยวดีเดี๋ยวหงุดหงิด หวังหยวนนั่งคิดในใจ สามีของเขาไม่น่าจะเข้าช่วงวัยทองเร็วขนาดนี้
หวังหยวนเลิกสนใจสามีเอาแต่ใจแล้วหยิบหนังสือเรียนขึ้นอ่าน
อีกสองสัปดาห์ก็จะสอบไฟนอลแล้วคงมัวแต่เล่นไม่ได้
หลังจากสอบเสร็จปิดเทอมแล้วคงจะสบายขึ้น
อยากไปเที่ยวกับเพื่อนและไปเยี่ยมพ่อที่ไม่ค่อยได้เจอกันอีกด้วย แต่คิดดูอีกทีหวังหยวนก็ยังเกรงใจเหว่ยถิงอยู่เหมือนกัน
เขาแต่งงานแล้วไม่อยากจะไปเที่ยวเตร็ดเตร่เล่นเหมือนเมื่อก่อน
ทั้งที่ในใจอยากจะไปแทบแย่ก็เถอะ ยังไงตอนนี้หน้าที่ภรรยาก็สำคัญ
เพราะพ่อแม่ของเหว่ยถิงเองก็เอ็นดูหวังหยวนมากปานลูกในไส้ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอกันเพราะงานยุ่งกันทั้งคู่ก็เถอะ
หวังหยวนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองสามีที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นไปแต่ไม่ได้พูดอะไร
เขาคงจะออกไปหาเพื่อนดื่มตามปกตินั่นแหละ ทั้งคู่สบตากัน
หวังหยวนมองสีหน้าบึ้งตึงของเหว่ยถิงแต่ไม่ได้พูดอะไร
เริ่มชินซะแล้วกับอาการแปรปรวนของสามีแก่ เด็กน้อยก้มลงอ่านหนังสือต่อจนได้ยินเสียงรถวิ่งออกไป
เสียงเพลงคลอเคล้าบรรยากาศยามค่ำคืนในบาร์แห่งหนึ่ง
เหว่ยถิงนั่งบนชุดโซฟาในมุมลับตาคน
แขนยาวพาดกับขอบโซฟาพลางจิบวิสกี้รสเข้มขึ้นดื่ม ใบหน้าคมเข้มน่ามอง
ร่างสูงขยับกายภายใต้ความมืดสลัว
ทุกท่วงท่านั้นเรียกความสนใจจากสาวนักท่องราตรีแถวนั้นได้ไม่น้อย ข้างกันมีนายแพทย์หนุ่ม
อู๋อี้ฟาน ที่เพิ่งปลีกตัวจากงานมาหาเพื่อนรักที่กำลังมีเรื่องทุกข์ใจ
ใครก็รู้ว่าเป็นหมองานยุ่งขนาดไหน แต่ถ้าเฉินเหว่ยถิงต้องการ
มีหรือเขาจะทำเป็นเมินเฉยได้
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหน้าตาคุ้นเคยเอ่ยทักแต่เหว่ยถิงไม่ได้สนใจ
ก็คงจะแค่เคยชนแก้วกัน
“จำเอลล่าได้หรือเปล่าคะ?”
“จำไม่ได้” ร่างสูงเหลือบตามองหญิงสาวตรงหน้า
“แหม
ลืมกันเร็วจัง เอลล่าเคยพาคุณไปส่งที่บ้านเมื่ออาทิตย์ก่อนไงคะ” เอลล่าหย่อนสะโพกนั่งข้างอีกคนอย่างถือวิสาสะ
เหว่ยถิงแสดงความเบื่อหน่ายออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“อืม ขอบใจ”
“เอลล่าเราว่ามาแก้ตัวเรื่องคืนนั้นดีกว่านะคะ
วิล..” ใบหน้าสะสวยส่งยิ้มหวานเยิ้มให้พลางใช้นิ้วเรียวไล้ไปตามปกคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน
“ฉันไม่มีอารมณ์หรอก
เธอไปได้แล้ว” เหว่ยถิงพูดตัดรำคาญพลางขยับตัวออกให้ห่างจากอีกคน
“แต่ว่า..”
“ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซากนะ!” เหว่ยถิงหมดความอดทน
เสียงเพลงในร้านที่ไม่ได้ดังมากพอที่จะกลบเสียงตะโกนทำให้คนในร้านแทบหันมามองเขาเป็นจุดเดียว
เอลล่าลุกขึ้นกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากแดงสดง้ำงอก่อนจะเดินหายไปในความมืด
"ใจเย็นไอ้เสือ มึงหงุดหงิดอะไรมานักหนาวะ"
อี้ฟานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนรัก
ปกติเหว่ยถิงแทบไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงที่เข้าหาเขาเลย
"หรือว่า.. มึงหงุดหงิดเรื่องเมีย?" เหว่ยถิงพยักหน้าแทนคำตอบ
อี้ฟานมองคนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเริ่มเดาทางถูก
"มึงเป็นอะไรก็พูดมาสิวะ ทำหน้าอมทุกข์อยู่นั่นน่ะ กูอยากเสือกจะตายแล้วเนี่ย"
"เมียกูเอาแต่พูดอยู่ได้ว่าไม่ได้รักกันอยู่นั่นแหละ วันนี้กูชวนไปฮันนีมูนก็ยกเอาเรื่องนี้มาอ้าง เห้อ" อี้ฟานลอบขำเมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของอีกฝ่าย
คงจะขมขื่นมากล่ะสินะ
"แล้วยังไงต่อวะ?"
"อย่างที่มึงรู้ว่ากูชอบน้องเขามาก่อน
พอพ่อกูบอกให้แต่งงานกูก็ยิ่งดีใจ ตอนนี้กูพูดได้เต็มปากเลยว่ารัก แต่เมียกูนี่สิ
เห้อ.. เฉยชากับกูตั้งแต่เข้าหอยันตอนนี้ เขาทำทุกอย่างเพราะหน้าที่ว่ะมึง" เหว่ยถิงนึกถึงวันที่พ่อของเขาส่งรูปลูกชายของเพื่อนไปอวด
รอยยิ้มไร้เดียงสา ถึงแม้ไม่ได้สวยโดดเด่น
แต่น่ารักจนทำให้หัวใจเขาสั่นไหวอยู่ไม่สุขทีเดียว
"ก็มึงทำสันดานใส่เขาก่อนทำไมล่ะ
สมน้ำหน้าเหอะสัส"
"แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ
เรื่องแต่งงานถึงหวังหยวนไม่ได้ขัดขืน แต่ก็ไม่ได้เต็มใจนัก ที่ร้ายใส่แบบนั้นกูก็แค่ไม่รู้จะเข้าหาน้องยังไง
รู้ตัวอีกทีหวังหยวนก็มองกูติดลบไปแล้ว" เหว่ยถิงถอนหายใจอีกรอบ
อี้ฟานทั้งขำทั้งสงสารเพื่อนแต่ก็จะไม่รู้จะช่วยยังไง ขนาดเรื่องของตัวเองยังแทบไม่รอด
คงได้แค่รับฟังแล้วให้คำปรึกษากันไป
"กูว่ามึงต้องแก้ตัวใหม่ว่ะ
ทำให้น้องมองมึงในมุมใหม่ ทำให้น้องรู้ว่ามึงรักเขา แต่ไม่ใช่บอกด้วยคำพูดนะเว้ย
มึงต้องบอกเขาด้วยการกระทำ"
เหว่ยถิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนายแพทย์หนุ่ม
"แล้วกูควรทำยังไงวะ"
"มันอยู่ที่มึงแล้วว่ะเพื่อน
กูต้องไปแล้วพรุ่งนี้เข้าเวรเช้า"
อี้ฟานตบบ่าเพื่อนรักอย่างเอาใจช่วยก่อนจะเดินออกไป
"อืม.... บอกรักด้วยการกระทำงั้นเหรอ"
เหว่ยถิงนั่งทบทวนคำแนะนำของเพื่อน รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าทันทีที่คิดแผนดีๆ ออก
"อืออ.. กลับมาแล้วเหรอครับ"
หวังหยวนลืมตางัวเงียขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงยวบบนเตียงแล้วหลับตาลงเพื่อนอนต่อ
"อืม กลับมาแล้ว"
เหว่ยถิงนั่งลงข้างภรรยาเด็กซุกปลายจมูกหอมแก้มนิ่มเบาๆ
กลิ่นของเด็กน้อยมันเย้ายวนจนแทบหยุดไม่ได้ซะทุกครั้ง
"ฮื่ออ! ออกไปน่าผมจะนอน" หวังหยวนยังคงหลับตาเอามือปัดป่ายเพราะความรำคาญ
อ่านหนังสือทั้งบ่ายกว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
"โอเคๆ ไม่กวนก็ได้"
เหว่ยถิงไม่ได้นึกน้อยใจที่คนตัวเล็กบ่ายเบี่ยง คงจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
"คุณยังไม่อาบน้ำนี่ นอนไม่ได้นะ ผมเหม็นเหล้า"
เหว่ยถิงชะงักทันทีเมื่อกำลังจะล้มตัวนอนข้างกายอีกคน
"ไม่เอาล่ะ ฉันง่วงแล้วเหมือนกัน"
"ถ้าไม่อาบก็ไปนอนห้องอื่นแล้วกัน
คนอะไรซกมกจริงๆ"
ไม่พูดเปล่าหวังหยวนเอาหมอนให้สามีหนึ่งใบก่อนจะกลับไปนอนต่อ
เมียเด็กของเหว่ยถิงช่างมีน้ำใจดีงาม
"ก็ได้ๆ ไปอาบแล้วก็ได้ครับทูนหัว"
ท้ายที่สุดก็ต้องลุกไปอาบน้ำอย่างจำใจ เรื่องอะไรจะไปนอนห้องอื่น
มีเมียแล้วก็ต้องนอนกับเมียสิ
... to be continue...